สำรวจ Vietnam บน Speed 400
บางครั้ง สิ่งที่คุณต้องทำคือการทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วออกผจญภัยครั้งใหม่ เพื่อให้คุณไม่ลืมว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ ในยามที่วิถีชีวิตประจำวันเริ่มหนักหนาเกินไปสำหรับคุณ การเดินทาง จะช่วยให้คุณได้พาตัวเองออกห่างจากกิจวัตรประจำวัน
ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับ Weronika Kwapisz ที่ไม่อยากจะรอปีหน้าในการทำฝันของเธอให้เป็นจริง โดยตัดสินใจซื้อตั๋วไปเวียดนาม เพื่อออกสำรวจสถานที่ใหม่ๆ แต่นี่ไม่ใช่การฉายเดี่ยวครั้งแรกของเธอ นักเดินทางผู้มากประสบการณ์คนนี้ เคยออกผจญภัยบนรถจักรยานยนต์ตามลำพังมาแล้วสองสามครั้งก่อนหน้านี้ โดยเธอเคยขี่ตะลุยอเมริกาเหนือด้วย Bonneville เป็นระยะทางกว่า 20 000 กม. (คุณสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทริปนี้ได้จากในหนังสือ “Seeking the Wild West”) และเธอยังเคยออกทริปด้วย Speedmaster ที่นิวซีแลนด์ ขี่ Speed Twin 1200 สำรวจบริติชไอลส์ รวมถึงทริปแรกในชีวิตของเธอที่ยุโรป บนรถจักรยานยนต์ 125 cc ที่เดินทางไปถึงกว่า 12 000 กม. เธอหัวเราะอย่างภูมิใจให้กับสายเลือดน้ำมันเบนซินในตัวเธอ ที่สืบทอดมาจากคุณยายซึ่งเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์
ในครั้งนี้ เธอเลือก Speed 400 รุ่นใหม่เป็นคู่หูในการเดินทาง “ฉันชอบรถจักรยานยนต์คลาสสิก ทั้งสไตล์ คาแรคเตอร์ เสียง… ฉันรู้ดีว่าในการสำรวจเอเชีย ฉันจำเป็นต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่น้ำหนักเบา ทันทีที่ฉันทราบข่าวว่า Triumph จะขยายกลุ่มรถจักรยานยนต์ 400 cc ฉันจึงตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย ในการเลือกขี่รถจักรยานยนต์โมเดิร์นคลาสสิกจากกลุ่มรถสัญชาติอังกฤษนั้น”
การเดินทางของคุณกับ Triumph เริ่มต้นขึ้นอย่างไร
"การผจญภัยของฉันกับ Triumph เริ่มต้นขึ้นบนเบาะนั่งของ Bonneville ในตอนที่ฉันใช้รถจักรยานยนต์คันนั้นขี่ที่อเมริกา สาขาที่โปแลนด์ประทับใจในการเดินทางของฉัน จนเสนอให้ฉันเป็นคนจัดทริปรอบๆ โปแลนด์และยุโรปให้กับลูกค้าของพวกเขา ผ่านมาเก้าปีจากนั้นจนถึงปัจจุบัน ฉันเป็นพนักงานประจำของ Triumph Poland ที่ยังคงขี่รถและออกสำรวจเส้นทางใหม่ๆ เพื่อทำในสิ่งที่ฉันรัก"
คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้มาเยือนอีกซีกโลกหนึ่ง
“ตั้งแต่นาทีแรกที่ฉันลงจากเครื่องบินที่ฮานอย ก็มีสิ่งเร้านับร้อยอย่างถาโถมเข้ามาจากทุกด้าน: กลิ่นใหม่ๆ เสียงสกู๊ตเตอร์ที่บีบแตรอย่างต่อเนื่อง รถยนต์ที่พยายามเบียดแย่งเลนกัน ภาษาใหม่ ทั้งหมดนี้ทำให้นักเดินทางต้องขี่รถโดยใช้สมาธิอย่างเต็มที่อยู่ตลอดเวลา ในตอนแรก ฉันรู้สึกกลัวการข้ามถนนเพราะรถที่นั่นพร้อมจะชนฉันได้ทุกเมื่อ แต่กลายเป็นว่ามันมีวิธีข้ามถนนท่ามกลางความบ้าคลั่งนี้ เพราะทุกคนในเมืองนี้ไม่ได้ขี่สกู๊ตเตอร์เป็นเส้นตรง แต่พวกเขาแหวกว่ายไปมาราวกับฝูงปลา แต่น่าเสียดายที่บนทางหลวงจะทำแบบนั้นได้ยากกว่า เพราะที่นั่นใช้กฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดังนั้น รถที่คันใหญ่กว่าจะต้องได้ไปก่อน ในวันที่สอง ฉันไม่ประหลาดใจที่ได้เห็นรถบัสวิ่งแซงรถบรรทุกเก่าๆ หรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ เหมือนในภาพยนตร์ที่อเมริกา ซึ่งกำลังแซงรถอีกอัน ที่กำลังแซงรถอีกคันอยู่เช่นกัน ในการเดินทางที่นี่ คุณจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ บางครั้งเพียงแค่เลี้ยวไป ถนนลาดยางก็อาจจะหมดลง แต่เฉพาะเลนของเราเลนเดียว หรือคุณอาจจะเจอควายยืนอยู่กลางถนนก็ได้เช่นกัน ฉันรู้สึกขำที่เมื่ออยู่ในเวียดนาม คุณควรคาดหวังที่จะได้เจอเรื่องที่เหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเดินทางออกมาจนพ้นจากตัวเมืองที่แสนวุ่นวาย คุณก็จะได้พบกับความงามของเวียดนาม ทิวทัศน์ที่งดงามและแปลกตา รวมถึงถนนบนภูเขาที่แสนคดเคี้ยว”
สมรรถนะของ Speed 400 รุ่นใหม่เป็นอย่างไรบ้าง
“เขาสามารถวิ่งได้ทั้งบนถนนและบนทางวิบากอย่างกล้าหาญ โดยไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น บางครั้งฉันก็รู้สึกผิดที่พาเขามาลำบาก แต่ฉันก็รู้สึกประหลาดใจในทางที่ดีกับรถรุ่นนี้อย่างมาก มันทั้งเบาอย่างเหลือเชื่อและมีแรงบิดที่กำลังดี ฉันต้องยอมรับว่าฉันคงไม่กล้าขี่รถคันใหญ่กว่านี้บนเส้นทางแคบๆ บางส่วนที่ฉันเดินทางผ่าน ข้อดีอันดับสองคือการประหยัดน้ำมัน โดยในระหว่างทริปของฉันมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 2.27-3 ลิตร/100 ซึ่งเป็นข้อดีอย่างมากสำหรับทริปที่มีงบจำกัด ด้านความสะดวกสบายในการขับขี่ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะเบานั่งมันนุ่มสบายมากสำหรับ Cafe racer ขนาดเล็ก รวมถึงตำแหน่งการขี่ด้วย สิ่งที่รบกวนใจฉันมากกว่าคือความร้อน (อุณหภูมิที่นั่นอยู่ในช่วง 38-46C) ซึ่งในบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมาพร้อมกับระดับความชื้นที่สูงถึง 90% มันเป็นอะไรที่ทรมานมากขณะสวมชุดขี่รถจักรยานยนต์ สิ่งที่พอจะช่วยฉันได้คือการหยุดพักแล้วแช่ผ้าปิดคอในน้ำ ซึ่งจะช่วยให้ฉันรู้สึกสดชื่นราวกับเปิดเครื่องปรับอากาศได้ประมาณ 10 นาที พร้อมทั้งดื่มน้ำมะพร้าวหรือชาเย็นใส่น้ำแข็ง ที่น่าสนใจคือ บางครั้งการขี่โดยปิดชิลด์หมวกนิรภัยไว้ กลับทำให้ฉันรู้สึกเย็นกว่าตอนที่เปิดเสียอีก”
คุณประทับใจในสิ่งใดมากที่สุด
“แน่นอนว่าต้องเป็น Ha Giang Loop ซึ่งมีทั้งทิวทัศน์ เส้นทางที่แคบ ผู้คน และทางลาดชันหลายร้อยเมตรที่ปราศจากราวกันอันตราย ทำให้เส้นทางดังกล่าวจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนานแสนนาน มันคือสวรรค์น้อยๆ ของรถจักรยานยนต์ และฉันยังชอบจังหวัด Ninh Bình ซึ่งมีผาหินอยู่ใกล้แค่เอื้อม รวมถึงทัวร์ชมแม่น้ำบนเรือไม้ลำน้อยๆ ใน Tràng An ไม่แปลกใจเลยที่สถานที่แห่งนี้ได้รับการจารึกเป็นแหล่งมรดกโลกโดย UNESCO และยังปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอีกหลายเรื่อง ในรูปแบบของสถานที่ลี้ลับสุดแปลกตา สุดท้ายแต่ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่อื่นๆ คือเส้นทางอันรกร้างว่างเปล่าในตำนานของ Ho Chi Minh ซึ่งเชื่อมต่อเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน และทอดยาวไปจนถึงกัมพูชาและชายแดนลาว บางครั้งคุณก็จะรู้สึกราวกับอยู่กลางป่าลึก และอาจได้เห็นเสืออยู่บนถนน นอกจากนี้คุณยังสามารถได้ยินเสียงฝูงลิงดังทะลุหมวกนิรภัยเข้ามาในระหว่างการขับขี่อีกด้วย จากในบรรดาเมืองที่ฉันชอบที่สุด Hoi An มีโคมไฟยามค่ำคืนที่โด่งดัง ดนตรีสด และชายหาดแสนสวย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายภายในเมืองนี้ เมื่อพูดถึงเวียดนาม จะพูดถึงแต่สถานที่ก็คงไม่ได้ เพราะผู้คนที่นี่ก็มีส่วนทำให้ประเทศนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทุกคนต่างทำงานหนัก รักครอบครัว และมีน้ำใจ ฉันชอบแนวคิดการขอบคุณเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างในชีวิต รวมถึงการมองไปที่อนาคตมากกว่าอดีตของพวกเขา ซึ่งนั่นเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน เวียดนามสอนบทเรียนต่างๆ ให้ฉันมากมาย โดยเฉพาะการรู้จักอดทนรอ และการให้ความสำคัญกับปัจจุบัน
