THE ART OF CHROME
Triumph Chrome Collection ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มตัวเลือกใหม่ที่ทั้งงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ให้กับกลุ่มรถ Bonneville และ Rocket ของเรา โดยจะเป็นการเสริมความยอดเยี่ยมให้กับสไตล์ระดับตำนานของรถเหล่านี้ และสานต่อชื่อเสียงระดับแนวหน้าในด้านคุณภาพและงานพื้นผิวของ Triumph
คุณลักษณะดีไซน์สุดโดดเด่น งานชุบโครเมียมเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเป็นต้นแบบของ Triumph นับจาก Speed Twin รุ่นออริจินัลในปี 1937 ที่มาพร้อมตัวถังชุบโครเมียมและเก็บรายละเอียดอย่างประณีต ไปจนถึง Triton Café Racer จากช่วงปี 1960 ซึ่งใช้ตัวถังโลหะขัดเงาสุดโดดเด่น ต่อเนื่องมาจนถึงจุดกำเนิดของยุคสมัยแห่งรถจักรยานยนต์คัสตอมคลาสสิกสไตล์โมเดิร์น
สำหรับลิมิเต็ด อิดิชันรุ่นใหม่นี้ ตัวถังของรถแต่ละคันใน Chrome Collection ใหม่ล่าสุด จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายในแผนกชุบโครเมียมที่แสนล้ำสมัยของ Triumph ด้วยงานฝีมือสุดประณีตเพื่อให้งานพื้นผิวนั้นไร้ที่ติ โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาทักษะการชุบโครเมียมมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา และผ่านงานชุบโครเมียมชิ้นส่วนมาแล้วกว่าล้านชิ้น เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอิสระรายหนึ่ง กล่าวถึงการดำเนินงานของแผนกใหม่นี้ว่าอยู่ในระดับ ‘มาตรฐานงานจิวเวลรี่’
การสร้างสรรค์ตัวถังชุบโครเมียมทั้งชิ้น
ตัวถังชุบโครเมียมทั้งชิ้นของรถแต่ละคันใน Chrome Collection ซึ่งได้แก่ Bonneville T120, Scrambler 1200, Bobber, Speedmaster, Thruxton RS café racer และ Rocket 3s ทั้งสองรุ่น คือผลงานที่แสดงถึงทักษะการเก็บรายละเอียด การขัดเงา และการทำงานพื้นผิวด้วยมือสุดประณีต โดยกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลานานกว่าการทำสีตัวถังแบบมาตรฐานถึง 5 ชั่วโมง
การขัดเงาคือหัวใจสำคัญสูงสุดของคุณภาพและงานพื้นผิวในการชุบโครเมียม เนื่องจากจะทำให้สามารถมองเห็นรอยหรือตำหนิใดๆ ก็ตามได้อย่างชัดเจน ในขณะที่การขัดเงาตัวถังมาตรฐานก่อนเริ่มทำสีนั้นใช้เวลาประมาณ 20 นาที ตัวถัง Chrome Edition จะใช้เวลาสูงสุดถึง 3 ชั่วโมงในการขัดเงา - โดยตลอดทั้งกระบวนการ จะเกิดขึ้นที่เวิร์กช็อปขัดเงาแห่งใหม่ของ Triumph และดำเนินการโดยทีมช่างฝีมือผู้ชำนาญการด้านการขัดเงาโดยเฉพาะ
การชุบโครเมียมตัวถังจะดำเนินการเพียงครั้งละหนึ่งชิ้น โดยกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง 40 นาที ซึ่งประกอบไปด้วย การทำความสะอาดและชำระล้างด้วยอัลตราโซนิค การเคลือบชั้นฐานด้วยนิกเกิลที่มีความทนทานสูง และชุบชั้นโครเมียมเพื่อความสวยงามเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในกระบวนการต่อเนื่องเพียงกระบวนการเดียว บนไลน์การชุบโครเมียมสุดล้ำสมัย หลังจากผ่านกระบวนการตรวจสอบงานพื้นผิวชุบโครเมียมอย่างเข้มงวด ตัวถังก็จะถูกส่งต่อไปยังทีมงานทำสีของ Triumph
ในกระบวนการทำสี ขั้นแรกได้แก่การติดวัสดุปิดกันสีที่ทำจากเรซินชนิดแข็งสั่งผลิตพิเศษให้มีรูปทรงเหมือนกับตัวถัง นี่เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยจะต้องค่อยๆ ติดไล่ตามรูปทรงของวัสดุปิดกันสีให้พอดีที่สุด และอาจต้องใช้เวลานานกว่าการติดวัสดุปิดกันสีของตัวถังแบบมาตรฐานถึง 7 เท่า จากนั้นจะเป็นการทารองพื้นชนิดพิเศษ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้การยึดติดกับพื้นผิวชุบโครเมียมอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวถังจะต้องผ่านการตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำสี ซึ่งได้แก่การพ่นสีโดยช่างฝีมือในแผนกทำสีระดับเวิร์ลคลาสของ Triumph และจะเริ่มต้นขั้นตอนสุดท้ายด้วยการแกะวัสดุปิดกันสีออก ตรวจสอบอีกครั้ง ตามด้วยการขัดเงาอีกหนึ่งรอบ เพื่อให้งานพื้นผิวระหว่างสีและโครเมียมเรียบเนียนสวยงาม ก่อนที่จะทำการตรวจสอบครั้งสุดท้าย และอนุมัติให้นำตัวถังไปติดตั้งเข้ากับรถจักรยานยนต์
การสร้างสรรค์ตัวถังที่เก็บรายละเอียดด้วยการชุบโครเมียม
Speed Twin 900, Scrambler 900 และ Bonneville T100 จะมาพร้อมการเก็บรายละเอียดองค์ประกอบด้วยโลหะจริง ซึ่งเป็นกระบวนการสุดพิเศษที่ทีมงาน Triumph พัฒนาขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยใช้นวัตกรรมกราฟิกโลหะแบบเส้นบาง วัสดุเก็บรายละเอียดด้วยการชุบโครเมียมแบบใหม่นี้ ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษในประเทศญี่ปุ่น และต้องอาศัยทักษะขั้นสูงอย่างแท้จริงในการจัดการและนำไปใช้งานโดยไม่ทำให้ชิ้นงานเสียหาย ขณะนี้จากในบรรดาสมาชิกทีมงาน Triumph ทั่วโลก เรามีผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูงเพียง 2 รายเท่านั้น หลังจากติดองค์ประกอบโลหะลงบนตัวถังฐานที่ผ่านการขัดเงา ทำสี และตรวจสอบแล้ว ก็จะเป็นการเพิ่มชั้นป้องกันด้วยการเคลือบแลคเกอร์ใสบางๆ เพื่อให้พื้นผิวเรียบเนียนและไร้ที่ติ พร้อมสำหรับการขัดเงาและตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย
รถจักรยานยนต์แต่ละคันจาก Chrome Edition สุดงดงาม ซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ที่แสนโดดเด่นของกลุ่มรถจักรยานยนต์ต้นแบบ Bonneville และ Rocket ของ Triumph จะวางจำหน่ายเพียงหนึ่งปีเท่านั้น